กฎหมายการเช่าหอพักและอพาร์ทเมนท์2024
กฎหมายเช่าหอพัก2024

ระบุรายละเอียดของชื่อและที่อยู่ส่วนบุคคลที่ครบครบถ้วนและชัดเจนโดยจะต้องมีชื่อของผู้ทำสัญญาทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า

  1. ชื่อ-นามสกุล: ระบุชื่อ-นามสกุลของทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าให้ตรงกับเอกสารประจำตัว เช่น บัตรประชาชน
  2. ชื่อเล่น: (ถ้ามี) สามารถระบุชื่อเล่นเพื่อความสะดวกในการเรียกขาน
  3. เลขที่บัตรประชาชน: ระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก เพื่อยืนยันตัวตน
  4. ที่อยู่ปัจจุบัน: ระบุที่อยู่ปัจจุบันให้ละเอียด เช่น เลขที่ หมู่บ้าน/อาคาร ซอย ถนน แขวง/ตำบล เขต/อำเภอ จังหวัด รหัสไปรษณีย์
  5. เบอร์โทรศัพท์: ระบุเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวกทั้งมือถือและบ้าน
  6. อีเมล: (ถ้ามี) ระบุอีเมลเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร
  7. ลายเซ็น: ทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าต้องลงนามในสัญญา พร้อมระบุวันที่ลงนาม
  • การติดต่อสื่อสาร: ข้อมูลที่ถูกต้องช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและสะดวก
  • การแก้ไขปัญหา: หากเกิดปัญหาขึ้น จะสามารถติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทันที
  • หลักฐานทางกฎหมาย: สัญญาเช่าที่ระบุข้อมูลครบถ้วนเป็นหลักฐานที่สำคัญทางกฎหมาย หากเกิดข้อพิพาท
  • ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง: ก่อนลงนามในสัญญา ควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วนอีกครั้ง
  • เก็บสำเนาสัญญา: เก็บสำเนาสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
  • แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูล: หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว ควรแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบเพื่อทำการแก้ไขในสัญญา
กฎหมายเช่าหอพัก2024

ระบุรายละเอียดของสถานที่ เลขที่ตั้ง รายละเอียดของทรัพย์สินที่เช่า จะต้องลงรายละเอียดในสัญญาให้ชัดเจน ถูกต้อง และครบถ้วนทุกครั้งที่ทำเอกสาร

  1. ชื่ออาคารหรือหอพัก: ระบุชื่ออาคารหรือหอพักให้ตรงกับป้ายหน้าอาคาร
  2. เลขที่: ระบุเลขที่อาคารหรือหอพัก
  3. ชั้น: ระบุชั้นที่ห้องพักตั้งอยู่
  4. หมายเลขห้อง: ระบุหมายเลขห้องพักให้ชัดเจน
  5. ที่อยู่: ระบุที่อยู่ของอาคารหรือหอพักให้ละเอียด เช่น เลขที่ หมู่บ้าน/อาคาร ซอย ถนน แขวง/ตำบล เขต/อำเภอ จังหวัด รหัสไปรษณีย์
  1. ประเภทของห้อง: ระบุว่าเป็นห้องพักประเภทใด เช่น ห้องเดี่ยว ห้องคู่ ห้องสำหรับครอบครัว
  2. ขนาดห้อง: ระบุขนาดของห้องเป็นตารางเมตร
  3. สิ่งอำนวยความสะดวกในห้อง: ระบุสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้ในห้อง เช่น แอร์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น เฟอร์นิเจอร์
  4. สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง: ระบุสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่ผู้เช่าสามารถใช้ได้ เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ที่จอดรถ
  5. สภาพของทรัพย์สิน: ระบุสภาพของทรัพย์สิน ณ วันที่ทำสัญญา เช่น สภาพดี มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย
  6. กุญแจ: ระบุจำนวนกุญแจที่ผู้เช่าได้รับ และวิธีการคืนกุญแจเมื่อสิ้นสุดสัญญา
  7. ที่จอดรถ: (ถ้ามี) ระบุจำนวนที่จอดรถที่ได้รับมอบหมาย
  • ป้องกันข้อพิพาท: การระบุรายละเอียดที่ชัดเจนจะช่วยป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น กรณีที่ทรัพย์สินเสียหาย หรือมีการอ้างว่าไม่ได้รับทรัพย์สินตามที่ระบุในสัญญา
  • เป็นหลักฐาน: สัญญาเช่าที่ระบุรายละเอียดครบถ้วนจะเป็นหลักฐานที่สำคัญในการพิสูจน์สิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย
  • อำนวยความสะดวกในการติดต่อ: การระบุที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกต้องจะช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่าเป็นไปอย่างสะดวก
  • ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง: ก่อนลงนามในสัญญา ควรตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดให้ถูกต้องครบถ้วนอีกครั้ง
  • ถ่ายเอกสารสัญญา: เก็บสำเนาสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
  • แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูล: หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ควรแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบเพื่อทำการแก้ไขในสัญญา
กฎหมายเช่าหอพัก2024

ระบุระยะเวลาการเช่า ผู้ออกสัญญาจะต้องทำการระบุ วัน เดือน ปี ของวันที่เริ่มทำสัญญาการเช่า และวัน เดือน ปี ของวันที่สิ้นสุดสัญญาการเช่าให้ครบถ้วน

  • ความชัดเจน: ทำให้ผู้เช่าและผู้ให้เช่าทราบอายุสัญญาที่ตรงกันทั้งสองฝ่าย
  • ป้องกันข้อพิพาท: ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดข้อพิพาทเรื่องการต่ออายุสัญญาหรือการยกเลิกสัญญา
  • หลักฐานทางกฎหมาย: เป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการอ้างอิงหากเกิดข้อพิพาททางกฎหมายได้
  • การวางแผน: ทำให้ผู้เช่าและผู้ให้เช่าวางแผนการใช้ชีวิตและจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

นอกจากนี้ สัญญาเช่ายังควรระบุเงื่อนไขอื่นๆ เกี่ยวกับระยะเวลาการเช่า เช่น:

  • การต่ออายุสัญญา: ระบุว่าสามารถต่ออายุสัญญาได้หรือไม่ และต้องแจ้งล่วงหน้านานเท่าไร
  • การยกเลิกสัญญา: ระบุเงื่อนไขการยกเลิกสัญญา เช่น ต้องแจ้งล่วงหน้านานเท่าไร มีค่าใช้จ่ายในการยกเลิกสัญญาหรือไม่
  • กรณีสัญญาสิ้นสุดลงโดยปริยาย: ระบุกรณีที่สัญญาจะสิ้นสุดลงโดยปริยาย เช่น กรณีที่ผู้เช่าย้ายออกก่อนกำหนด หรือกรณีที่ผู้ให้เช้ายกเลิกสัญญา
  • อ่านสัญญาให้ละเอียด: ก่อนลงนามในสัญญา ควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาการเช่าให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
  • สอบถามข้อสงสัย: หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรสอบถามผู้ให้เช่าหรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
  • เก็บสำเนาสัญญา: เก็บสำเนาสัญญาไว้เป็นหลักฐาน

ระบุรายละเอียดของเงินค่ามัดจำ ค่าเช่า ค่าประกัน และค่าส่วนกลางที่ผู้เช่าจะต้องจ่าย ควรระบุลงในเอกสารสัญญาให้ครบถ้วน พร้อมทั้งระบุวิธีการชำระเงินให้ชัดเจน ป้องกันการเกิดความผิดพลาดในภายหลัง

  • ค่าเช่า:
    • จำนวนเงิน: ระบุจำนวนเงินค่าเช่าที่ชำระต่อเดือนให้ชัดเจน
    • วิธีการชำระ: ระบุว่าจะชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี และกำหนดวันชำระค่าเช่าที่แน่นอน
    • ช่องทางการชำระ: ระบุช่องทางการชำระค่าเช่า เช่น ชำระผ่านธนาคาร โอนเงิน หรือชำระเป็นเงินสด
  • เงินประกัน:
    • จำนวนเงิน: ระบุจำนวนเงินประกันที่ต้องวาง
    • วัตถุประสงค์: ระบุวัตถุประสงค์ของเงินประกัน เช่น เพื่อเป็นการรับรองว่าผู้เช่าจะดูแลรักษาห้องพัก หรือเพื่อเป็นการค้ำประกันการชำระค่าเช่า
    • เงื่อนไขการคืน: ระบุเงื่อนไขการคืนเงินประกัน เช่น จะได้รับเงินคืนเมื่อใด และจะหักค่าใช้จ่ายใดบ้างหากมีการเสียหาย
  • ค่ามัดจำ:
    • จำนวนเงิน: ระบุจำนวนเงินค่ามัดจำ
    • วัตถุประสงค์: ระบุวัตถุประสงค์ของค่ามัดจำ เช่น ค่ากุญแจ ค่ารีโมท หรือค่าบริการอื่นๆ
    • เงื่อนไขการคืน: ระบุเงื่อนไขการคืนค่ามัดจำ เช่น จะได้รับเงินคืนเมื่อใด และภายใต้เงื่อนไขใด
  • ค่าส่วนกลาง:
    • จำนวนเงิน: ระบุจำนวนเงินค่าส่วนกลางที่ต้องชำระ
    • รายละเอียดค่าใช้จ่าย: ระบุรายละเอียดของค่าส่วนกลาง เช่น ค่าไฟฟ้าส่วนกลาง ค่าน้ำประปาส่วนกลาง ค่ารักษาความปลอดภัย
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: (ถ้ามี) ระบุค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่จอดรถ ค่าอินเทอร์เน็ต
  • ช่องทางการชำระ: ระบุช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น
    • โอนเงิน: ระบุชื่อบัญชี ธนาคาร เลขที่บัญชี
    • ชำระผ่านแอปพลิเคชัน: ระบุชื่อแอปพลิเคชันที่ใช้ในการชำระเงิน
    • ชำระเป็นเงินสด: ระบุสถานที่ที่สามารถชำระเงินได้
  • ใบเสร็จรับเงิน: ระบุว่าจะออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้เช่าหรือไม่ และในรูปแบบใด
  • ค่าเช่า: ผู้เช่าตกลงจะชำระค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท โดยชำระล่วงหน้า 1 เดือน และชำระภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน ผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา… เลขที่บัญชี…
  • เงินประกัน: ผู้เช่าวางเงินประกันจำนวน 10,000 บาท ซึ่งจะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดสัญญาและไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น
  • ค่าส่วนกลาง: ผู้เช่าต้องชำระค่าส่วนกลางเดือนละ 300 บาท ซึ่งรวมถึงค่าไฟฟ้าส่วนกลาง ค่าน้ำประปาส่วนกลาง และค่ารักษาความปลอดภัย
  • อ่านสัญญาให้ละเอียด: ก่อนลงนามในสัญญา ควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
  • สอบถามข้อสงสัย: หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรสอบถามผู้ให้เช่าหรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
  • เก็บสำเนาสัญญา: เก็บสำเนาสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
  • ใบเสร็จรับเงิน: ขอใบเสร็จรับเงินทุกครั้งที่ชำระค่าใช้จ่าย

ระบุรายละเอียดอัตราค่าสาธารณูปโภค อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำประปา ค่าอินเทอร์เน็ต(WIFI) รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผู้เช่าต้องชำระ ควรระบุให้ครบถ้วนชัดเจน

  • วิธีการคำนวณค่าใช้จ่าย:
    • ค่าน้ำ/ค่าไฟ: ระบุว่าจะคิดค่าใช้จ่ายตามมิเตอร์จริง หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อคนต่อเดือน
    • ค่าอินเทอร์เน็ต: ระบุว่ารวมอยู่ในค่าเช่าหรือไม่ หากไม่รวม จะคิดค่าบริการอย่างไร เช่น คิดเป็นรายหัว หรือคิดตามแพ็คเกจ
    • ค่าส่วนกลาง: ระบุว่ารวมอยู่ในค่าเช่าหรือไม่ หากไม่รวม จะคิดค่าบริการอย่างไร และค่าส่วนกลางนี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่ารักษาความปลอดภัย ค่าทำความสะอาดส่วนกลาง
  • การชำระค่าใช้จ่าย:
    • กำหนดวันชำระ: ระบุวันที่จะต้องชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ
    • ช่องทางการชำระ: ระบุช่องทางการชำระค่าใช้จ่าย เช่น ชำระพร้อมค่าเช่า ชำระแยกต่างหาก
  • ใบเสร็จรับเงิน: ระบุว่าจะออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้เช่าหรือไม่ และในรูปแบบใด
  • ค่าน้ำค่าไฟ: ผู้เช่าจะต้องชำระค่าน้ำค่าไฟตามมิเตอร์จริง โดยจะทำการคิดค่าใช้จ่ายทุก ๆ 3 เดือน และจะแจ้งยอดให้ผู้เช่าทราบ
  • ค่าอินเทอร์เน็ต: ค่าบริการอินเทอร์เน็ตจะรวมอยู่ในค่าเช่าแล้ว
  • ค่าส่วนกลาง: ผู้เช่าต้องชำระค่าส่วนกลางเดือนละ 300 บาท ซึ่งรวมถึงค่ารักษาความปลอดภัย ค่าทำความสะอาดส่วนกลาง และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาส่วนกลางอื่นๆ
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: หากมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่จอดรถ ค่าบริการซักรีด ควรระบุให้ชัดเจนในสัญญา
  • การปรับขึ้นค่าใช้จ่าย: หากมีการปรับขึ้นค่าสาธารณูปโภค ผู้ให้เช่าควรแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้า และระบุวิธีการปรับขึ้นค่าใช้จ่ายในสัญญา
  • การแบ่งปันค่าใช้จ่าย: หากมีผู้เช่าหลายคน อาจมีการตกลงกันว่าจะแบ่งปันค่าใช้จ่ายอย่างไร เช่น แบ่งตามสัดส่วนของห้องพัก หรือแบ่งเท่าๆ กัน
  • การตรวจสอบมิเตอร์: ผู้เช่าควรมีสิทธิ์ตรวจสอบมิเตอร์น้ำและมิเตอร์ไฟฟ้าเป็นระยะ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของค่าใช้จ่าย

ระบุรายละเอียดความรับผิดชอบที่ผู้เช่าจะต้องชดเชยในกรณีที่เกิดความเสียหาย สูญหาย ต่อทรัพย์สินต่าง ๆ ของหอพัก ในส่วนนี้จะต้องเน้นย้ำและระบุให้ชัดเจน หากเกิดกรณีที่หอพักได้รับความเสียหายจากผู้เช่า หอพักจะได้รับค่าชดเชยในส่วนนี้โดยที่ผู้เช่าไม่สามารถปฏิเสธได้และป้องกันการหนีหายจากฝั่งผู้เช่านั่นเอง

“ผู้เช่าตกลงที่จะดูแลรักษาทรัพย์สินของหอพักให้ดีเท่าที่ตนเองจะกระทำได้ หากเกิดความเสียหาย สูญหาย หรือทรัพย์สินชำรุดเสียหายอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อ หรือการกระทำของผู้เช่าหรือผู้ที่ผู้เช่าอนุญาตให้เข้ามาในห้องพัก ผู้เช่าตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้แก่ผู้ให้เช่า โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น”

โดยอาจเพิ่มเติมรายละเอียดดังต่อไปนี้:

  • ระบุตัวอย่างทรัพย์สิน: ระบุตัวอย่างทรัพย์สินที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ประตู หน้าต่าง ผนังห้อง
  • ระบุความเสียหาย: ระบุประเภทของความเสียหายที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ เช่น ความเสียหายจากการใช้งานผิดประเภท การทำลาย การสูญหาย
  • วิธีการชดใช้: ระบุวิธีการชดใช้ค่าเสียหาย เช่น การซ่อมแซมด้วยตนเอง การจ่ายค่าซ่อมแซม หรือการชดใช้เป็นเงินสด
  • หลักฐานการเสียหาย: ระบุวิธีการพิสูจน์ความเสียหาย เช่น การถ่ายรูป การทำบันทึก

ตัวอย่างข้อความเพิ่มเติม:

  • “หากเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของหอพัก ผู้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบภายใน 24 ชั่วโมง และร่วมมือในการประเมินค่าเสียหาย”
  • “ผู้เช่าตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายตามราคาตลาด ณ วันที่เกิดเหตุ”
  • “หากผู้เช่าย้ายออกจากห้องพัก ผู้เช่าจะต้องตรวจสอบห้องพักร่วมกับผู้ให้เช่า และชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนการย้ายออก”
  • ความชัดเจน: ทำให้ผู้เช่าเข้าใจถึงความรับผิดชอบของตนเอง
  • ป้องกันข้อพิพาท: ลดความเสี่ยงในการเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า
  • คุ้มครองทรัพย์สิน: ช่วยรักษาทรัพย์สินของหอพักให้คงสภาพดี
  • สร้างความรับผิดชอบ: ส่งเสริมให้ผู้เช่ามีความรับผิดชอบต่อทรัพย์สินที่ตนเองใช้
  • ความสมดุล: ข้อความที่ระบุควรมีความสมดุล ไม่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้เช่า
  • กฎหมาย: ควรศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่าข้อความที่ระบุนั้นสอดคล้องกับกฎหมาย
  • ความชัดเจน: ข้อความควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและชัดเจน เพื่อป้องกันการตีความที่ผิดพลาด

ระบุรายละเอียดความผิดของคู่สัญญา ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดการผิดสัญญาควรระบุให้ชัดเจน

  • ไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด: เป็นความผิดที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าตามจำนวนเงินและกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา
  • ทำลายทรัพย์สิน: ผู้เช่าต้องดูแลรักษาทรัพย์สินที่เช่า หากเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของผู้เช่า ผู้เช่าต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย
  • ใช้ทรัพย์สินไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์: ผู้เช่าต้องใช้ทรัพย์สินที่เช่าตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในสัญญา หากนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น อาจถูกยกเลิกสัญญา
  • รบกวนผู้อื่น: ผู้เช่าต้องไม่รบกวนผู้อาศัยรายอื่นหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาคาร
  • ไม่แจ้งให้ทราบเมื่อจะย้ายออก: ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าก่อนวันสิ้นสุดสัญญา หากไม่แจ้ง อาจต้องชดใช้ค่าเสียหาย
  • ไม่ส่งมอบทรัพย์สินให้เช่าตามสัญญา: ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่าตามสัญญาที่ทำไว้
  • รบกวนการอยู่อาศัยของผู้เช่า: ผู้ให้เช่าต้องไม่รบกวนการอยู่อาศัยของผู้เช่า เช่น เข้ามาในห้องพักโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ไม่ซ่อมแซมทรัพย์สินที่ชำรุด: ผู้ให้เช่าต้องซ่อมแซมทรัพย์สินที่ชำรุดเสียหาย ซึ่งเกิดจากการใช้งานตามปกติ
  • เพิ่มค่าเช่าโดยไม่แจ้งล่วงหน้า: ผู้ให้เช่าไม่สามารถเพิ่มค่าเช่าได้โดยพลการ ต้องแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา
  • การยกเลิกสัญญา: หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะยกเลิกสัญญา
  • การเรียกค่าเสียหาย: ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญา มีสิทธิที่จะเรียกค่าเสียหายจากอีกฝ่ายหนึ่ง
  • การฟ้องร้อง: หากไม่สามารถตกลงกันได้ อาจต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย

การระบุรายละเอียดความผิดของคู่สัญญาในสัญญาเช่า ควรระบุให้ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อป้องกันการตีความที่แตกต่างกัน และช่วยให้การแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่น

ระบุรายละเอียดการต่อเติม แก้ไข ทรัพย์สินที่เช่า ให้กับผู้เช่าได้รับทราบว่าสามารถต่อเติม แก้ไข หรือก่อสร้างทรัพย์สินใด ๆ ได้หรือไม่

  • การอนุญาต: การต่อเติมใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของทรัพย์สินก่อนเสมอ
  • ผลกระทบต่อทรัพย์สิน: การต่อเติมที่ไม่ได้รับการออกแบบหรือควบคุมอย่างถูกต้อง อาจส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหายได้
  • กฎหมาย: การต่อเติมอาจขัดต่อกฎหมายอาคารหรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
  1. ขออนุญาตจากเจ้าของ: แจ้งความประสงค์ในการต่อเติมให้เจ้าของทราบ และขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
  2. ตกลงรายละเอียด: ตกลงรายละเอียดต่างๆ เช่น ประเภทของการต่อเติม วัสดุที่ใช้ ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการดำเนินการ
  3. ทำสัญญาเพิ่มเติม: ทำสัญญาเพิ่มเติมในสัญญาเช่า เพื่อระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อเติมให้ชัดเจน
  4. ปฏิบัติตามกฎหมาย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการต่อเติมเป็นไปตามกฎหมายอาคารและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • ค่าใช้จ่าย: ผู้เช่าต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการต่อเติมทั้งหมด
  • การรื้อถอน: เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า ผู้เช่าอาจต้องรื้อถอนสิ่งที่ตนเองต่อเติมออกไป
  • ความรับผิดชอบ: ผู้เช่าต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการต่อเติม
  • การตกแต่ง: การตกแต่งภายในห้อง เช่น การติดวอลเปเปอร์ การติดตั้งม่าน เป็นการตกแต่งที่ผู้เช่าสามารถทำได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้าของ แต่ควรแจ้งให้เจ้าของทราบก่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
  • การติดตั้งอุปกรณ์: การติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น ชั้นวางของ ตู้เสื้อผ้า อาจต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน หากเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งถาวรหรืออาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของอาคาร

ก่อนทำการต่อเติมจะใด ๆ ในทรัพย์สินที่เช่าจะต้องทำการแจ้งหรือได้รับการอนุญาตจากเจ้าของทรัพย์สินหรือเจ้าของหอพักก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

กฎหมายเช่าหอพัก2024

ผู้ให้เช่าควรระบุสภาพและรายการทรัพย์สินในการเช่า พร้อมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินสำหรับให้เช่าอย่างถี่ถ้วนก่อนทำการส่งมอบ รวมไปถึงผู้เช่าควรตรวจสอบทรัพย์สินก่อนรับมอบให้ถี่ถ้วนเช่นกันเพื่อลดปัญหาทรัพย์สินเสียหายในภายหลัง

  • จัดทำรายการทรัพย์สิน: ควรจัดทำรายการทรัพย์สินที่ให้เช่าอย่างละเอียด เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สภาพของห้อง ห้องน้ำ ห้องครัว รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
  • ถ่ายรูป: ถ่ายรูปทรัพย์สินในทุกมุม เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันสภาพของทรัพย์สินก่อนการส่งมอบ
  • ตรวจสอบระบบต่างๆ: ตรวจสอบระบบไฟฟ้า ประปา และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์
  • ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด: ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดเสียหายก่อนการส่งมอบ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
  • ทำบันทึก: ทำบันทึกการตรวจสอบร่วมกับผู้เช่า โดยระบุรายละเอียดสภาพของทรัพย์สิน และให้ทั้งสองฝ่ายลงนาม
  • ตรวจสอบรายการทรัพย์สิน: ตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่ได้รับมอบให้ตรงกับรายการที่ระบุไว้ในสัญญา
  • ตรวจสอบสภาพ: ตรวจสอบสภาพของทรัพย์สินทุกชิ้นอย่างละเอียด รวมถึงตรวจสอบรอยขีดข่วน รอยแตก หรือความเสียหายอื่นๆ
  • ทดลองใช้งาน: ทดลองใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้เป็นปกติ
  • แจ้งปัญหา: หากพบปัญหาหรือความเสียหายใดๆ ควรแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบทันที และทำบันทึกเป็นหลักฐาน
  • สัญญาเช่า: ควรระบุรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทรัพย์สินและความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่ายในสัญญาเช่าอย่างชัดเจน
  • มัดจำ: การวางเงินมัดจำสามารถช่วยคุ้มครองผู้ให้เช่าในกรณีที่ผู้เช่าทำทรัพย์สินเสียหาย
  • ประกันทรัพย์สิน: การทำประกันทรัพย์สินสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียทรัพย์สินจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด

การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยให้ทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่ามีความสบายใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดข้อพิพาทในภายหลังได้อย่างมาก

  • การปรับปรุง: หากผู้เช่าต้องการปรับปรุงหรือตกแต่งห้องพัก ควรระบุขั้นตอนและเงื่อนไขในการขออนุญาต
  • การดูแลรักษา: ระบุความรับผิดชอบของผู้เช่าในการดูแลรักษาทรัพย์สิน
  • การคืนทรัพย์สิน: ระบุเงื่อนไขในการคืนทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดสัญญา เช่น สภาพของทรัพย์สินที่ต้องคืน

ข้อสำคัญสัญญาจะต้องถูกทำขึ้นมา 2 ฉบับ และเนื้อหาของข้อความจะต้องมีตรงกันทุกอย่าง ทั้งลายมือผู้เช่า ข้อมูลต่าง ๆ และจะต้องลงลายมือชื่อผู้เช่าและผู้ให้เช่าทั้งสองฉบับให้เรียบร้อย

  • หลักฐานที่ชัดเจน: แต่ละฝ่ายจะถือสัญญาฉบับของตนเองไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งจะช่วยยืนยันสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายได้อย่างชัดเจน
  • ป้องกันการแก้ไข: การมีสัญญา 2 ฉบับ ช่วยป้องกันการแก้ไขสัญญาหลังจากที่ได้ลงนามแล้ว
  • ความเท่าเทียม: ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่ามีเอกสารที่เหมือนกัน ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน
  • ใช้ในการดำเนินคดี: หากเกิดข้อพิพาท สัญญาเช่าจะเป็นหลักฐานสำคัญในการนำไปใช้ในการดำเนินคดี
  • เนื้อหาสัญญา: เนื้อหาของสัญญาต้องครอบคลุมทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น รายละเอียดทรัพย์สิน ค่าเช่า ระยะเวลาการเช่า สิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย เป็นต้น
  • ภาษาที่ใช้: ภาษาที่ใช้ในสัญญาควรเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและชัดเจน เพื่อป้องกันการตีความที่ผิดพลาด
  • พยาน: ควรมีพยานมาเป็นสักขีในการลงนามสัญญา เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • เก็บรักษาสัญญา: ควรเก็บรักษาสัญญาไว้ในที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการสูญหาย
  1. พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัตินี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมหอพักที่รับคนเช่าที่เป็นนักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยมีกฎเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้:
    • การขอใบอนุญาตประกอบกิจการหอพัก: ผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจหอพักต้องขอใบอนุญาตจากทางราชการ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการออกใบอนุญาต เช่น โครงสร้างอาคาร ระบบความปลอดภัย และการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เหมาะสม
    • การกำกับดูแลผู้เช่า: หอพักที่รับคนเช่าซึ่งเป็นนักเรียน นักศึกษาที่อายุต่ำกว่า 25 ปี จะต้องมีผู้ดูแลที่ผ่านการอบรมจากทางการ
    • มาตรฐานหอพัก: หอพักต้องมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย เช่น มีระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลางที่ถูกสุขอนามัย และระบบป้องกันอัคคีภัย
  2. พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 กฎหมายนี้จะเกี่ยวข้องหากหอพักตั้งอยู่ในอาคารชุด และเกี่ยวกับข้อกำหนดในการบริหารจัดการอาคารชุดที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น การจัดการพื้นที่ส่วนกลาง การเก็บค่าบริการ และข้อกำหนดเรื่องการบำรุงรักษา
  3. พระราชบัญญัติให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พ.ศ. 2562 กฎหมายฉบับนี้กำหนดเกี่ยวกับการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยทั่วไป ซึ่งมีข้อกำหนดบางอย่างที่ใช้กับหอพักเช่นกัน โดยเฉพาะหากเป็นการให้เช่าระยะยาว:
    • สัญญาเช่าต้องเป็นลายลักษณ์อักษร: เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น
    • การจำกัดการขึ้นค่าเช่า: การขึ้นค่าเช่าต้องแจ้งล่วงหน้า และไม่สามารถขึ้นได้เกินกว่าที่กำหนดในกฎหมาย
  4. กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายนี้มีส่วนช่วยคุ้มครองสิทธิ์ของผู้เช่า เช่น กรณีที่ผู้ให้เช่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญา หรือมีการเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่เป็นธรรม
  • ระเบียบท้องถิ่น: บางจังหวัดหรือบางพื้นที่อาจมีระเบียบท้องถิ่นที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น กฎเรื่องความปลอดภัย การจัดการขยะ หรือการดูแลสิ่งแวดล้อม
  • กฎหมายควบคุมอาคาร: หอพักที่เป็นอาคารสูงหรือมีพื้นที่ขนาดใหญ่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาคาร รวมถึงการขออนุญาตก่อสร้าง การดูแลความปลอดภัยด้านไฟฟ้าและอัคคีภัย
กฎหมายเช่าหอพัก2024

ประเด็นสำคัญในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับสัญญาเช่า

  1. นิยามของสัญญาเช่า
    • ตามมาตรา 537: สัญญาเช่าเป็นสัญญาที่ผู้ให้เช่ายินยอมให้ผู้เช่าใช้ทรัพย์สินของตนเป็นการชั่วคราว และผู้เช่ายินยอมที่จะชำระค่าเช่าเพื่อการนั้น
  2. หน้าที่ของผู้ให้เช่า
    • มาตรา 544: ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ของการเช่า
    • มาตรา 545: ผู้ให้เช่าต้องบำรุงรักษาทรัพย์สินที่เช่าให้อยู่ในสภาพดีตลอดระยะเวลาการเช่า ยกเว้นแต่เป็นความผิดของผู้เช่าเอง
  3. หน้าที่ของผู้เช่า
    • มาตรา 552: ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
    • มาตรา 553: ผู้เช่าต้องใช้ทรัพย์สินที่เช่าตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันไว้ในสัญญา หรือตามลักษณะทั่วไปของทรัพย์นั้น หากใช้ทรัพย์สินผิดวัตถุประสงค์ ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้
  4. การบอกเลิกสัญญาเช่า
    • มาตรา 566: สัญญาเช่าที่กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนจะสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
    • มาตรา 569: ถ้าผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาหรือภายใต้กฎหมาย
    • มาตรา 570: ผู้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากทรัพย์สินที่เช่ามีข้อบกพร่องจนไม่สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ หรือมีอันตรายจากการใช้งาน
  5. สิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อไม่มีระยะเวลาแน่นอน
    • มาตรา 569: ถ้าไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเช่าไว้ชัดเจน ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ด้วยการแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งงวดการเช่า
  6. การโอนสิทธิการเช่า
    • มาตรา 571: ผู้เช่าไม่สามารถโอนสิทธิในการเช่าหรือให้เช่าช่วงได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า
  7. การทำสัญญาเช่า
    • ต้องมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าหากสัญญาเช่ามีระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี ต้องจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่รัฐตามมาตรา 538
  8. สัญญาเช่า
    • จะต้องทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร

หลักเกณฑ์สำคัญอื่นๆ

  • การคืนทรัพย์สินที่เช่า: เมื่อสิ้นสุดสัญญา ผู้เช่ามีหน้าที่คืนทรัพย์สินในสภาพที่อยู่ในความเรียบร้อยตามที่ตกลงกันในสัญญา
  • ค่ามัดจำและค่าประกัน: หากมีการตกลงเรื่องการมัดจำหรือค่าประกันไว้ในสัญญา จะต้องระบุชัดเจนในสัญญา โดยผู้เช่ามีสิทธิ์เรียกคืนค่ามัดจำเมื่อไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่เช่า

หลักการทั่วไปเกี่ยวกับการบอกเลิกสัญญาใน ป.พ.พ.

  1. การบอกเลิกสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลา
    หากสัญญากำหนดระยะเวลาแน่นอน การบอกเลิกสัญญาจะเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ เว้นแต่มีเหตุที่ทำให้สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามได้ หรือมีเหตุอื่นที่กฎหมายอนุญาตให้บอกเลิกได้มาตรา 566: สัญญาเช่าที่กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอน จะสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติเมื่อครบกำหนด ไม่จำเป็นต้องบอกเลิก
  2. การบอกเลิกสัญญาที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลา
    หากสัญญาไม่ได้ระบุระยะเวลาที่แน่นอน หรือเป็นสัญญาระยะยาวแบบต่อเนื่อง การบอกเลิกสัญญาต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าภายในระยะเวลาที่เหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนดมาตรา 569: หากสัญญาเช่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าสามารถบอกเลิกได้โดยต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งงวดการเช่า
  3. การบอกเลิกสัญญากรณีมีการผิดสัญญา
    การบอกเลิกสัญญาเนื่องจากการผิดสัญญาของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ โดยกฎหมายระบุว่าฝ่ายที่ถูกละเมิดสิทธิ์สามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันที หรือภายในระยะเวลาที่สมควรเมื่ออีกฝ่ายผิดนัดชำระค่าเช่า หรือละเมิดเงื่อนไขอื่น ๆ ที่สำคัญในสัญญามาตรา 387: การบอกเลิกสัญญาในกรณีที่อีกฝ่ายผิดสัญญา จะต้องเป็นกรณีที่เป็นการผิดสัญญาอย่างร้ายแรง ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาต่อไปได้
  4. การบอกเลิกสัญญากรณีความเสียหาย
    ถ้าสัญญาถูกทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้เนื่องจากเหตุสุดวิสัย เช่น ภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายมีสิทธิ์ที่จะบอกเลิกสัญญาได้ทันที

ประเภทของสัญญาและการบอกเลิกสัญญาใน ป.พ.พ.

  1. สัญญาเช่า (มาตรา 569)
    • หากผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันที
    • ผู้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากทรัพย์สินที่เช่าชำรุดจนไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ
  2. สัญญาจ้างแรงงาน (มาตรา 577-587)
    • นายจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากลูกจ้างทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือละเลยการทำงานตามหน้าที่
    • ลูกจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากนายจ้างฝ่าฝืนสัญญาหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
  3. สัญญาจ้างทำของ (มาตรา 593)
    • ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานตามสัญญาได้หรือมีการชักช้าเกินกำหนด
    • ผู้รับจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากผู้ว่าจ้างไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาหรือไม่ชำระค่าตอบแทนตามที่ตกลงกัน

การบอกเลิกสัญญาโดยข้อตกลง

หากในสัญญามีการกำหนดเงื่อนไขการบอกเลิกไว้อย่างชัดเจน ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว เช่น การแจ้งล่วงหน้าหรือการชดเชยค่าเสียหายตามที่ได้ตกลงกันไว้

พระราชบัญญัติห้องเช่า พ.ศ. 2558

  • สัญญาห้องเช่า: ต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน เช่น ระยะเวลาการเช่า ค่าเช่า เงื่อนไขการคืนเงินประกัน และการบอกเลิกสัญญา
  • การปรับปรุง: กฎหมายนี้บังคับให้ผู้ให้เช่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าเช่าหรือเงื่อนไขการเช่าโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เช่า ยกเว้นมีเหตุผลที่สมควร เช่น ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงหรือบำรุงรักษา

ประเด็นสำคัญของพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558

  1. นิยามของหอพัก
    • หอพักหมายถึงอาคารหรือส่วนหนึ่งของอาคารที่เจ้าของหอพักเปิดให้เช่าโดยเฉพาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
    • หอพักที่รับผู้เช่าที่มีอายุเกิน 25 ปีจะไม่เข้าข่ายตามกฎหมายนี้
  2. การขออนุญาตประกอบกิจการหอพัก
    • ผู้ประกอบกิจการหอพักต้องได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องถิ่นตามกฎหมาย
    • หอพักที่ก่อสร้างหรือปรับปรุงต้องมีโครงสร้างอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
  3. ผู้ดูแลหอพัก
    • หอพักที่รับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องมี ผู้ดูแลหอพัก ซึ่งผ่านการอบรมจากหน่วยงานราชการ
    • ผู้ดูแลหอพักมีหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยของผู้เช่า
  4. มาตรฐานความปลอดภัย
    • หอพักต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด ระบบป้องกันอัคคีภัย พื้นที่ส่วนกลางที่ปลอดภัย รวมถึงมาตรการป้องกันอาชญากรรมภายในหอพัก
    • ต้องมีการดูแลเรื่องความสะอาดและการจัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะ
  5. สิทธิของผู้เช่า
    • ผู้เช่ามีสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย
    • ผู้เช่าต้องได้รับสัญญาเช่าที่เป็นธรรม โดยไม่มีข้อกำหนดที่ละเมิดสิทธิ์หรือเป็นภาระเกินควร
  6. บทลงโทษ
    • ผู้ประกอบกิจการหอพักที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น ไม่ขออนุญาตหรือไม่มีการดูแลความปลอดภัยตามที่กำหนด จะต้องถูกปรับหรืออาจถูกสั่งปิดกิจการได้
    • ผู้ดูแลหอพักที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำผิดกฎหมายจะต้องรับโทษตามที่กำหนด
กฎหมายเช่าหอพัก2024
  • อ่านและทำความเข้าใจสัญญา: ควรอ่านและทำความเข้าใจรายละเอียดในสัญญาทุกข้อก่อนเซ็น
  • การเก็บหลักฐาน: เก็บสำเนาสัญญาและใบเสร็จรับเงินเพื่อใช้เป็นหลักฐานในอนาคต
  • การปรึกษาทนาย: ในกรณีที่มีข้อสงสัยหรือข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสัญญาเช่า ควรปรึกษาทนายเพื่อขอคำแนะนำทางกฎหมาย
  • สัญญาเช่าเป็นหลักฐานสำคัญ: สัญญาเช่าเป็นหลักฐานที่แสดงถึงสิทธิและหน้าที่ของทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า การทำสัญญาเช่าให้ชัดเจนและครบถ้วนจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  • สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่า: ผู้เช่ามีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าตามวัตถุประสงค์ของการเช่า และมีหน้าที่ชำระค่าเช่าตามกำหนด ดูแลรักษาทรัพย์สินให้ดี
  • สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่า: ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่าตามสัญญา และมีสิทธิที่จะได้รับค่าเช่าตามกำหนด
  • การแก้ไขปัญหา: หากเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการเจรจาไกล่เกลี่ย หรือหากตกลงกันไม่ได้ สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้
  • ข้อมูลของคู่สัญญา: ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เลขที่บัตรประชาชน
  • รายละเอียดทรัพย์สินที่เช่า: ที่ตั้ง ขนาด ห้อง ห้องน้ำ ห้องครัว สิ่งอำนวยความสะดวก
  • ระยะเวลาการเช่า: ระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดการเช่า
  • ค่าเช่า: ระบุจำนวนเงินค่าเช่า วิธีการชำระ และกำหนดวันชำระค่าเช่า
  • เงินประกัน: ระบุจำนวนเงินประกัน และเงื่อนไขการคืนเงินประกัน
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: ระบุค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง
  • สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา: ระบุสิทธิและหน้าที่ของทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่าอย่างชัดเจน
  • เงื่อนไขการต่อสัญญา: ระบุเงื่อนไขการต่อสัญญาหากต้องการใช้ทรัพย์สินต่อเนื่อง
  • การยกเลิกสัญญา: ระบุเหตุผลที่สามารถยกเลิกสัญญาได้ และผลที่ตามมา
  • การแก้ไขปัญหาข้อพิพาท: ระบุวิธีการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น
  • การไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด: เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด
  • ความเสียหายของทรัพย์สิน: ผู้เช่าทำทรัพย์สินเสียหาย
  • การรบกวนผู้อื่น: ผู้เช่าสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อาศัยรายอื่น
  • การไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าเมื่อจะย้ายออก: ผู้เช่าไม่แจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าตามที่กำหนดในสัญญา
  • อ่านสัญญาให้ละเอียด: ก่อนเซ็นสัญญา ควรอ่านสัญญาให้ละเอียดและเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนเอง
  • ตรวจสอบสภาพห้อง: ตรวจสอบสภาพห้องก่อนเข้าอยู่ และแจ้งปัญหาให้ผู้ให้เช่าทราบ
  • เก็บหลักฐาน: เก็บหลักฐานการชำระค่าเช่า และหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • แจ้งปัญหาทันที: หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ควรแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบโดยเร็วที่สุด
  • ทำสัญญาให้ชัดเจน: สัญญาเช่าควรมีความชัดเจน ครอบคลุม และเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย
  • ตรวจสอบสภาพห้องก่อนส่งมอบ: ตรวจสอบสภาพห้องให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบให้ผู้เช่า
  • ดูแลรักษาความเรียบร้อยของอาคาร: ดูแลรักษาความเรียบร้อยของอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
  • ปฏิบัติตามกฎหมาย: ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้เช่าทรัพย์สิน

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย

กฎหมายการเช่าหอพักและอพาร์ทเมนท์ อาจมีการปรับปรุงกฎหมายและมีการอัปเดตใหม่ หรือแก้ไขข้อกำหนดเพิ่มเติม จึงควรติดตามข้อมูลจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่อง หากต้องการทราบข้อมูลเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายเช่าหอพัก2024 สามารถตรวจสอบกับกรมที่ดิน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านกฎหมายและอสังหาริมทรัพย์

แหล่งที่มา: http://dspace.spu.ac.th/bitstream, Lawsnote DoPie https://www.drthawip.com/civilandcommercialcode/081 และ https://propertyscout.co.th

โปรแกรม Horganice เป็นโปรแกรมบริหารหอพักสัญชาติไทยที่พัฒนาโดยคนไทย

  • ใช้ระบบ Cloud ที่ดีที่สุดเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลจะหายไป เพราะเรามีทีม Developer ดูแลข้อมูลและสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
  • ข้อมูลไม่ถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่ 3 โดยที่ไม่ได้รับความยินยอม
  • * ฮอร์แกไนซ์ไม่ได้มีหน้าที่ส่งข้อมูลให้สรรพากร แต่เราอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้โดยการที่ผู้ใช้สามารถ export หน้าบัญชีออกไปเป็นไฟล์ Excel เพื่อให้ง่ายในการรวบรวมข้อมูลรายรับ – รายจ่ายได้)

ฮอร์แกไนซ์เราเข้าใจถึงปัญหาที่เจ้าของหอพักต้องเจอเป็นอย่างดี เรามีประสบการณ์ในด้านการพัฒนาระบบพื้นที่เช่าทั้งห้องเช่า บ้านเช่า หอพักและอพาร์ทเมนต์ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ตลอดระยะเวลาฮอร์แกไนซ์ได้มีการปรับปรุงและอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด

สมัครใช้งาน Horganice ฟรี

Share via