ระบบชำระเงินออนไลน์มีกี่รูปแบบ? (อัปเดตปี 2024)
การชำระเงินออนไลน์เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อการรับชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รูปแบบของระบบชำระเงินออนไลน์มีความหลากหลาย เจ้าของธุรกิจจึงเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับรูปแบบของระบบชำระเงินออนไลน์ที่ถูกใช้งานหลักในปัจจุบัน
รูปแบบของระบบชำระเงินออนไลน์สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท
การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต
เป็นรูปแบบที่แพร่หลายที่สุดในหลายประเทศ การใช้บัตรเหล่านี้สำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์มีสัดส่วนสูงถึง 50% ของการชำระเงินออนไลน์ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา
กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-wallets)
เป็นวิธีการชำระเงินที่สะดวกและรวดเร็ว มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ เช่น PayPal, Alipay, และ WeChat Pay ในปี 2023 กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ครอบครองตลาดชำระเงินออนไลน์ทั่วโลกถึง 30%
การชำระเงินผ่านมือถือ (Internet & Mobile Banking)
ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การชำระเงินผ่านมือถือเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนที่การชำระเงินผ่านมือถือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของการชำระเงินออนไลน์ทั้งหมด
สกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชน
การชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin และ Ethereum กำลังเติบโต แม้ว่าจะยังคงเป็นสัดส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น ๆ แต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต
แนวโน้มที่น่าสนใจในอนาคตคือการรวมระบบชำระเงินออนไลน์กับเทคโนโลยีบล็อกเชนและ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งาน อีกทั้ง การเติบโตของการชำระเงินข้ามพรมแดน (cross-border payments) ที่จะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคและธุรกิจสามารถซื้อขายสินค้าและบริการในระดับนานาชาติได้อย่างราบรื่น
หอพักจำเป็นต้องรับค่าเช่าผ่านระบบออนไลน์ไหม?
จำเป็นอย่างยิ่ง จากสถิติในปี 2023 ที่ผ่าน การชำระเงินด้วยช่องทาง Internet & Mobile Banking ได้รับความนิยมและเติบโตสูงสุด โดยมีจำนวนบัญชีถึง 136.1 ล้านบัญชี (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2566) และมีปริมาณการใช้งานสูงถึง 29.4 พันล้านรายการ คิดเป็น มูลค่ากว่า 105.3 พันล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีรายงานสรุปข้อมูลพฤติกรรมการชำระเงินของคนไทยจากธนาคารแห่งประเทศไทย (“The Way We Pay 2023”) ที่พบว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2562-2566) ประเทศไทยมีการเติบโตของ Digital Payment เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการชำระเงินด้วย Internet & Mobile Banking ที่มีสัดส่วนปริมาณและมูลค่าสูงถึง 96% และ 84% จากระดับ 93.1 และ 65.4% ในปี 2562 ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการชำระเงินของคนไทยที่มีความคุ้นชินในการใช้ Digital Payment ในชีวิตประจำวัน
ในปี 2024 ระบบชำระเงินออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีความหลากหลายในด้านรูปแบบและเทคโนโลยี การศึกษาของ Statista ในปี 2023 พบว่ากว่า 70% ของผู้บริโภคทั่วโลกใช้รูปแบบการชำระเงินออนไลน์อย่างน้อยหนึ่งประเภทเพื่อซื้อสินค้าและบริการ สืบเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอีคอมเมิร์ซและการทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันมือถือเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญต่อการเติบโตของระบบชำระเงินออนไลน์
ข้อดีของการชำระเงินออนไลน์
นอกจากการชำระเงินออนไลน์จะได้รับความนิยมจากผู้ใช้แล้ว การชำระเงินออนไลน์ยังมีข้อดีอีกหลายประการ
1. ความสะดวกสบาย
คุณสามารถชำระเงินและรับชำระเงินจากที่บ้านหรือที่ใดก็ได้ผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ชำระเงินหรือรอคิว
2. ประหยัดเวลา
การชำระเงินออนไลน์สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำได้ทันที และรวดเร็ว คุณสามารถชำระเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ไม่จำกัดเวลาทำการของธนาคารหรือสถานที่ชำระเงิน
3.ลดการใช้เงินสดทำให้สามารถติดตามและบันทึกข้อมูลได้ง่าย
การชำระเงินออนไลน์มักมีการบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรม ทำให้ง่ายต่อการติดตามและตรวจสอบย้อนหลัง คุณสามารถดูรายละเอียดการชำระเงินและประวัติการทำธุรกรรมได้ทุกเมื่อ อีกทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือการถูกขโมยเงินสด และยังช่วยลดความยุ่งยากในการพกพาเงินสดจำนวนมาก
ข้อควรระวังในการใช้งาน
ข้อควรระวังในการใช้งานระบบชำระเงินออนไลน์
การชำระเงินออนไลน์เป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วในการทำธุรกรรมทางการเงิน แต่การใช้งานระบบนี้ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน การปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้จะช่วยให้การใช้งานระบบชำระเงินออนไลน์ของคุณมีความปลอดภัยมากขึ้นและลดความเสี่ยงจากการโจรกรรมข้อมูลหรือการทุจริต
1. ใช้เว็บไซต์ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
ตรวจสอบว่าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่คุณใช้งานมีการเข้ารหัส SSL (Secure Sockets Layer) โดยสังเกตจากไอคอนรูปกุญแจในแถบที่อยู่ (URL) และ URL ควรเริ่มต้นด้วย “https://”
2. อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการชำระเงินกับเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก
หลีกเลี่ยงการกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขบัตรเครดิต รหัสผ่าน หรือข้อมูลธนาคาร บนเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่มีความน่าเชื่อถือ ที่สำคัญคือควรติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์เพื่อป้องกันการ Hack จากไวรัสหรือมัลแวร์ที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของข้อมูล
3. ระวังการฟิชชิ่ง (Phishing)
ระวังอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนจะมาจากธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงิน แต่จริง ๆ แล้วเป็นการปลอมแปลงเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว อย่าคลิกลิงก์ในอีเมลหรือข้อความที่น่าสงสัย และตรวจสอบที่มาของอีเมลให้แน่ใจ
4. ใช้รหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูงและไม่ใช้ซ้ำ
เลือกใส่รหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูงโดยใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์ หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับหลายบริการ หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะในการเข้าสู่ระบบหรือทำธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากเครือข่ายสาธารณะมักมีความปลอดภัยน้อยกว่าและเสี่ยงต่อการถูกดักฟัง
5. ตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมอย่างสม่ำเสมอ
ตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมในบัญชีธนาคารหรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต หากพบสิ่งผิดปกติ ควรติดต่อธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงินทันที
อ้างอิง:
https://mgronline.com/smes/detail/9670000002036
https://www.bot.or.th/th/satang-story/digital-fin-lit/internet-payment.html
https://www.bot.or.th/th/statistics/payment.html
https://www.thairath.co.th/money/personal_finance/banking_bond/2776118
Horganice ระบบบริหารหอพัก ร่วมกับ Beam Checkout ระบบรับชำระเงินอัตโนมัติ
ลูกค้าจ่ายเงินได้สะดวกรวดเร็ว เจ้าของหอรับเงินได้เร็วขึ้น !
✓ QR Code สแกนจ่ายเงินได้ง่ายๆ ทันใจ ฟรี!
✓ บัตรเครดิต รองรับการชำระเงินจากหลากหลายแบรนด์ (ฟรี ค่าธุรกรรม 50,000 บาท แรก/50 สิทธิ์ต่อเดือนเท่านั้น)
✓ อัพเดทสถานะการจ่ายเงินอัตโนมัติ
ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำแนะนำการเพิ่มช่องทางรับชำระเงินค่าเช่าแบบครบวงจร พร้อมส่วนลดค่าธรรมเนียมและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่! กรอกฟอร์มเลย: https://forms.gle/BJnrGjLGpbMJPE2c7