เรื่องสำคัญที่ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่าต้องทำความเข้าใจ ก่อนที่จะทำการเช่าและปล่อยเช่า คือ กฎหมายเช่าหอพัก
กฎหมายเช่าหอพักมีความยากและมีหลากหลายข้อมูลที่ต้องทำความเข้าใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้องมีรายละเอียดที่ครบถ้วน โดยรายละเอียดของสัญญาเช่าหอพักและอพาร์ทเมนท์ มีดังนี้
ข้อมูลที่ควรระบุในสัญญา
ระบุรายละเอียดของชื่อและที่อยู่ส่วนบุคคลที่ครบถ้วนและชัดเจนโดยจะต้องมีชื่อของผู้ทำสัญญาทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า
- ชื่อ-นามสกุล: ระบุชื่อ-นามสกุลของทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าให้ตรงกับเอกสารประจำตัว เช่น บัตรประชาชน
- ชื่อเล่น: (ถ้ามี) สามารถระบุชื่อเล่นเพื่อความสะดวกในการเรียกขาน
- เลขที่บัตรประชาชน: ระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก เพื่อยืนยันตัวตน
- ที่อยู่ปัจจุบัน: ระบุที่อยู่ปัจจุบันให้ละเอียด เช่น เลขที่ หมู่บ้าน/อาคาร ซอย ถนน แขวง/ตำบล เขต/อำเภอ จังหวัด รหัสไปรษณีย์
- เบอร์โทรศัพท์: ระบุเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวกทั้งมือถือและบ้าน
- อีเมล: (ถ้ามี) ระบุอีเมลเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร
- ลายเซ็น: ทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าต้องลงนามในสัญญา พร้อมระบุวันที่ลงนาม
ความสำคัญของการระบุข้อมูลให้ถูกต้อง
- การติดต่อสื่อสาร: ข้อมูลที่ถูกต้องช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและสะดวก
- การแก้ไขปัญหา: หากเกิดปัญหาขึ้น จะสามารถติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทันที
- หลักฐานทางกฎหมาย: สัญญาเช่าที่ระบุข้อมูลครบถ้วนเป็นหลักฐานที่สำคัญทางกฎหมาย หากเกิดข้อพิพาท
ข้อควรระวัง:
- ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง: ก่อนลงนามในสัญญา ควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วนอีกครั้ง
- เก็บสำเนาสัญญา: เก็บสำเนาสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
- แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูล: หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว ควรแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบเพื่อทำการแก้ไขในสัญญา
ระบุรายละเอียดของสถานที่ เลขที่ตั้ง รายละเอียดของทรัพย์สินที่เช่า จะต้องลงรายละเอียดในสัญญาให้ชัดเจน ถูกต้อง และครบถ้วนทุกครั้งที่ทำเอกสาร
- ชื่ออาคารหรือหอพัก: ระบุชื่ออาคารหรือหอพักให้ตรงกับป้ายหน้าอาคาร
- เลขที่: ระบุเลขที่อาคารหรือหอพัก
- ชั้น: ระบุชั้นที่ห้องพักตั้งอยู่
- หมายเลขห้อง: ระบุหมายเลขห้องพักให้ชัดเจน
- ที่อยู่: ระบุที่อยู่ของอาคารหรือหอพักให้ละเอียด เช่น เลขที่ หมู่บ้าน/อาคาร ซอย ถนน แขวง/ตำบล เขต/อำเภอ จังหวัด รหัสไปรษณีย์
รายละเอียดทรัพย์สินที่เช่า
- ประเภทของห้อง: ระบุว่าเป็นห้องพักประเภทใด เช่น ห้องเดี่ยว ห้องคู่ ห้องสำหรับครอบครัว
- ขนาดห้อง: ระบุขนาดของห้องเป็นตารางเมตร
- สิ่งอำนวยความสะดวกในห้อง: ระบุสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้ในห้อง เช่น แอร์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น เฟอร์นิเจอร์
- สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง: ระบุสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่ผู้เช่าสามารถใช้ได้ เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ที่จอดรถ
- สภาพของทรัพย์สิน: ระบุสภาพของทรัพย์สิน ณ วันที่ทำสัญญา เช่น สภาพดี มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย
- กุญแจ: ระบุจำนวนกุญแจที่ผู้เช่าได้รับ และวิธีการคืนกุญแจเมื่อสิ้นสุดสัญญา
- ที่จอดรถ: (ถ้ามี) ระบุจำนวนที่จอดรถที่ได้รับมอบหมาย
ความสำคัญของการระบุรายละเอียดให้ชัดเจน
- ป้องกันข้อพิพาท: การระบุรายละเอียดที่ชัดเจนจะช่วยป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น กรณีที่ทรัพย์สินเสียหาย หรือมีการอ้างว่าไม่ได้รับทรัพย์สินตามที่ระบุในสัญญา
- เป็นหลักฐาน: สัญญาเช่าที่ระบุรายละเอียดครบถ้วนจะเป็นหลักฐานที่สำคัญในการพิสูจน์สิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย
- อำนวยความสะดวกในการติดต่อ: การระบุที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกต้องจะช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่าเป็นไปอย่างสะดวก
ข้อควรระวัง:
- ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง: ก่อนลงนามในสัญญา ควรตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดให้ถูกต้องครบถ้วนอีกครั้ง
- ถ่ายเอกสารสัญญา: เก็บสำเนาสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
- แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูล: หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ควรแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบเพื่อทำการแก้ไขในสัญญา
ระบุระยะเวลาการเช่า ผู้ออกสัญญาจะต้องทำการระบุ วัน เดือน ปี ของวันที่เริ่มทำสัญญาการเช่า และวัน เดือน ปี ของวันที่สิ้นสุดสัญญาการเช่าให้ครบถ้วน
ความสำคัญของการระบุวัน เดือน ปี ในสัญญาให้ชัดเจน
- ความชัดเจน: ทำให้ผู้เช่าและผู้ให้เช่าทราบอายุสัญญาที่ตรงกันทั้งสองฝ่าย
- ป้องกันข้อพิพาท: ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดข้อพิพาทเรื่องการต่ออายุสัญญาหรือการยกเลิกสัญญา
- หลักฐานทางกฎหมาย: เป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการอ้างอิงหากเกิดข้อพิพาททางกฎหมายได้
- การวางแผน: ทำให้ผู้เช่าและผู้ให้เช่าวางแผนการใช้ชีวิตและจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการระบุระยะเวลาการเช่า:
สัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567
นอกจากนี้ สัญญาเช่ายังควรระบุเงื่อนไขอื่นๆ เกี่ยวกับระยะเวลาการเช่า เช่น:
- การต่ออายุสัญญา: ระบุว่าสามารถต่ออายุสัญญาได้หรือไม่ และต้องแจ้งล่วงหน้านานเท่าไร
- การยกเลิกสัญญา: ระบุเงื่อนไขการยกเลิกสัญญา เช่น ต้องแจ้งล่วงหน้านานเท่าไร มีค่าใช้จ่ายในการยกเลิกสัญญาหรือไม่
- กรณีสัญญาสิ้นสุดลงโดยปริยาย: ระบุกรณีที่สัญญาจะสิ้นสุดลงโดยปริยาย เช่น กรณีที่ผู้เช่าย้ายออกก่อนกำหนด หรือกรณีที่ผู้ให้เช้ายกเลิกสัญญา
ข้อควรระวัง:
- อ่านสัญญาให้ละเอียด: ก่อนลงนามในสัญญา ควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาการเช่าให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
- สอบถามข้อสงสัย: หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรสอบถามผู้ให้เช่าหรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
- เก็บสำเนาสัญญา: เก็บสำเนาสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
ระบุรายละเอียดของเงินค่ามัดจำ ค่าเช่า ค่าประกัน และค่าส่วนกลางที่ผู้เช่าจะต้องจ่าย ควรระบุลงในเอกสารสัญญาให้ครบถ้วน พร้อมทั้งระบุวิธีการชำระเงินให้ชัดเจน ป้องกันการเกิดความผิดพลาดในภายหลัง
รายละเอียดที่ควรระบุในสัญญา
- ค่าเช่า:
- จำนวนเงิน: ระบุจำนวนเงินค่าเช่าที่ชำระต่อเดือนให้ชัดเจน
- วิธีการชำระ: ระบุว่าจะชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี และกำหนดวันชำระค่าเช่าที่แน่นอน
- ช่องทางการชำระ: ระบุช่องทางการชำระค่าเช่า เช่น ชำระผ่านธนาคาร โอนเงิน หรือชำระเป็นเงินสด
- เงินประกัน:
- จำนวนเงิน: ระบุจำนวนเงินประกันที่ต้องวาง
- วัตถุประสงค์: ระบุวัตถุประสงค์ของเงินประกัน เช่น เพื่อเป็นการรับรองว่าผู้เช่าจะดูแลรักษาห้องพัก หรือเพื่อเป็นการค้ำประกันการชำระค่าเช่า
- เงื่อนไขการคืน: ระบุเงื่อนไขการคืนเงินประกัน เช่น จะได้รับเงินคืนเมื่อใด และจะหักค่าใช้จ่ายใดบ้างหากมีการเสียหาย
- ค่ามัดจำ:
- จำนวนเงิน: ระบุจำนวนเงินค่ามัดจำ
- วัตถุประสงค์: ระบุวัตถุประสงค์ของค่ามัดจำ เช่น ค่ากุญแจ ค่ารีโมท หรือค่าบริการอื่นๆ
- เงื่อนไขการคืน: ระบุเงื่อนไขการคืนค่ามัดจำ เช่น จะได้รับเงินคืนเมื่อใด และภายใต้เงื่อนไขใด
- ค่าส่วนกลาง:
- จำนวนเงิน: ระบุจำนวนเงินค่าส่วนกลางที่ต้องชำระ
- รายละเอียดค่าใช้จ่าย: ระบุรายละเอียดของค่าส่วนกลาง เช่น ค่าไฟฟ้าส่วนกลาง ค่าน้ำประปาส่วนกลาง ค่ารักษาความปลอดภัย
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: (ถ้ามี) ระบุค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่จอดรถ ค่าอินเทอร์เน็ต
วิธีการชำระเงินที่ชัดเจน
- ช่องทางการชำระ: ระบุช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น
- โอนเงิน: ระบุชื่อบัญชี ธนาคาร เลขที่บัญชี
- ชำระผ่านแอปพลิเคชัน: ระบุชื่อแอปพลิเคชันที่ใช้ในการชำระเงิน
- ชำระเป็นเงินสด: ระบุสถานที่ที่สามารถชำระเงินได้
- ใบเสร็จรับเงิน: ระบุว่าจะออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้เช่าหรือไม่ และในรูปแบบใด
ตัวอย่างข้อความในสัญญา
- ค่าเช่า: ผู้เช่าตกลงจะชำระค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท โดยชำระล่วงหน้า 1 เดือน และชำระภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน ผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา… เลขที่บัญชี…
- เงินประกัน: ผู้เช่าวางเงินประกันจำนวน 10,000 บาท ซึ่งจะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดสัญญาและไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น
- ค่าส่วนกลาง: ผู้เช่าต้องชำระค่าส่วนกลางเดือนละ 300 บาท ซึ่งรวมถึงค่าไฟฟ้าส่วนกลาง ค่าน้ำประปาส่วนกลาง และค่ารักษาความปลอดภัย
ข้อควรระวัง
- อ่านสัญญาให้ละเอียด: ก่อนลงนามในสัญญา ควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
- สอบถามข้อสงสัย: หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรสอบถามผู้ให้เช่าหรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
- เก็บสำเนาสัญญา: เก็บสำเนาสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
- ใบเสร็จรับเงิน: ขอใบเสร็จรับเงินทุกครั้งที่ชำระค่าใช้จ่าย
ระบุรายละเอียดอัตราค่าสาธารณูปโภค อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำประปา ค่าอินเทอร์เน็ต(WIFI) รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผู้เช่าต้องชำระ ควรระบุให้ครบถ้วนชัดเจน
รายละเอียดค่าสาธารณูปโภคที่ควรระบุในสัญญา
- วิธีการคำนวณค่าใช้จ่าย:
- ค่าน้ำ/ค่าไฟ: ระบุว่าจะคิดค่าใช้จ่ายตามมิเตอร์จริง หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อคนต่อเดือน
- ค่าอินเทอร์เน็ต: ระบุว่ารวมอยู่ในค่าเช่าหรือไม่ หากไม่รวม จะคิดค่าบริการอย่างไร เช่น คิดเป็นรายหัว หรือคิดตามแพ็คเกจ
- ค่าส่วนกลาง: ระบุว่ารวมอยู่ในค่าเช่าหรือไม่ หากไม่รวม จะคิดค่าบริการอย่างไร และค่าส่วนกลางนี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่ารักษาความปลอดภัย ค่าทำความสะอาดส่วนกลาง
- การชำระค่าใช้จ่าย:
- กำหนดวันชำระ: ระบุวันที่จะต้องชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ
- ช่องทางการชำระ: ระบุช่องทางการชำระค่าใช้จ่าย เช่น ชำระพร้อมค่าเช่า ชำระแยกต่างหาก
- ใบเสร็จรับเงิน: ระบุว่าจะออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้เช่าหรือไม่ และในรูปแบบใด
ตัวอย่างข้อความในสัญญา
- ค่าน้ำค่าไฟ: ผู้เช่าจะต้องชำระค่าน้ำค่าไฟตามมิเตอร์จริง โดยจะทำการคิดค่าใช้จ่ายทุก ๆ 3 เดือน และจะแจ้งยอดให้ผู้เช่าทราบ
- ค่าอินเทอร์เน็ต: ค่าบริการอินเทอร์เน็ตจะรวมอยู่ในค่าเช่าแล้ว
- ค่าส่วนกลาง: ผู้เช่าต้องชำระค่าส่วนกลางเดือนละ 300 บาท ซึ่งรวมถึงค่ารักษาความปลอดภัย ค่าทำความสะอาดส่วนกลาง และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาส่วนกลางอื่นๆ
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: หากมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่จอดรถ ค่าบริการซักรีด ควรระบุให้ชัดเจนในสัญญา
- การปรับขึ้นค่าใช้จ่าย: หากมีการปรับขึ้นค่าสาธารณูปโภค ผู้ให้เช่าควรแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้า และระบุวิธีการปรับขึ้นค่าใช้จ่ายในสัญญา
- การแบ่งปันค่าใช้จ่าย: หากมีผู้เช่าหลายคน อาจมีการตกลงกันว่าจะแบ่งปันค่าใช้จ่ายอย่างไร เช่น แบ่งตามสัดส่วนของห้องพัก หรือแบ่งเท่าๆ กัน
- การตรวจสอบมิเตอร์: ผู้เช่าควรมีสิทธิ์ตรวจสอบมิเตอร์น้ำและมิเตอร์ไฟฟ้าเป็นระยะ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของค่าใช้จ่าย
ระบุรายละเอียดความรับผิดชอบที่ผู้เช่าจะต้องชดเชยในกรณีที่เกิดความเสียหาย สูญหาย ต่อทรัพย์สินต่าง ๆ ของหอพัก ในส่วนนี้จะต้องเน้นย้ำและระบุให้ชัดเจน หากเกิดกรณีที่หอพักได้รับความเสียหายจากผู้เช่า หอพักจะได้รับค่าชดเชยในส่วนนี้โดยที่ผู้เช่าไม่สามารถปฏิเสธได้และป้องกันการหนีหายจากฝั่งผู้เช่านั่นเอง
ข้อความที่ควรระบุในสัญญา
“ผู้เช่าตกลงที่จะดูแลรักษาทรัพย์สินของหอพักให้ดีเท่าที่ตนเองจะกระทำได้ หากเกิดความเสียหาย สูญหาย หรือทรัพย์สินชำรุดเสียหายอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อ หรือการกระทำของผู้เช่าหรือผู้ที่ผู้เช่าอนุญาตให้เข้ามาในห้องพัก ผู้เช่าตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้แก่ผู้ให้เช่า โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น”
โดยอาจเพิ่มเติมรายละเอียดดังต่อไปนี้:
- ระบุตัวอย่างทรัพย์สิน: ระบุตัวอย่างทรัพย์สินที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ประตู หน้าต่าง ผนังห้อง
- ระบุความเสียหาย: ระบุประเภทของความเสียหายที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ เช่น ความเสียหายจากการใช้งานผิดประเภท การทำลาย การสูญหาย
- วิธีการชดใช้: ระบุวิธีการชดใช้ค่าเสียหาย เช่น การซ่อมแซมด้วยตนเอง การจ่ายค่าซ่อมแซม หรือการชดใช้เป็นเงินสด
- หลักฐานการเสียหาย: ระบุวิธีการพิสูจน์ความเสียหาย เช่น การถ่ายรูป การทำบันทึก
ตัวอย่างข้อความเพิ่มเติม:
- “หากเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของหอพัก ผู้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบภายใน 24 ชั่วโมง และร่วมมือในการประเมินค่าเสียหาย”
- “ผู้เช่าตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายตามราคาตลาด ณ วันที่เกิดเหตุ”
- “หากผู้เช่าย้ายออกจากห้องพัก ผู้เช่าจะต้องตรวจสอบห้องพักร่วมกับผู้ให้เช่า และชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนการย้ายออก”
ความสำคัญของการระบุข้อความในสัญญาให้ชัดเจน
- ความชัดเจน: ทำให้ผู้เช่าเข้าใจถึงความรับผิดชอบของตนเอง
- ป้องกันข้อพิพาท: ลดความเสี่ยงในการเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า
- คุ้มครองทรัพย์สิน: ช่วยรักษาทรัพย์สินของหอพักให้คงสภาพดี
- สร้างความรับผิดชอบ: ส่งเสริมให้ผู้เช่ามีความรับผิดชอบต่อทรัพย์สินที่ตนเองใช้
ข้อควรระวัง
- ความสมดุล: ข้อความที่ระบุควรมีความสมดุล ไม่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้เช่า
- กฎหมาย: ควรศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่าข้อความที่ระบุนั้นสอดคล้องกับกฎหมาย
- ความชัดเจน: ข้อความควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและชัดเจน เพื่อป้องกันการตีความที่ผิดพลาด
ระบุรายละเอียดความผิดของคู่สัญญา ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดการผิดสัญญาควรระบุให้ชัดเจน
โดยทั่วไปแล้ว ความผิดของคู่สัญญาในสัญญาเช่าอาจเกิดขึ้นได้จากหลายกรณี ดังนี้
ความผิดของผู้เช่า
- ไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด: เป็นความผิดที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าตามจำนวนเงินและกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา
- ทำลายทรัพย์สิน: ผู้เช่าต้องดูแลรักษาทรัพย์สินที่เช่า หากเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของผู้เช่า ผู้เช่าต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย
- ใช้ทรัพย์สินไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์: ผู้เช่าต้องใช้ทรัพย์สินที่เช่าตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในสัญญา หากนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น อาจถูกยกเลิกสัญญา
- รบกวนผู้อื่น: ผู้เช่าต้องไม่รบกวนผู้อาศัยรายอื่นหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาคาร
- ไม่แจ้งให้ทราบเมื่อจะย้ายออก: ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าก่อนวันสิ้นสุดสัญญา หากไม่แจ้ง อาจต้องชดใช้ค่าเสียหาย
ความผิดของผู้ให้เช่า
- ไม่ส่งมอบทรัพย์สินให้เช่าตามสัญญา: ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่าตามสัญญาที่ทำไว้
- รบกวนการอยู่อาศัยของผู้เช่า: ผู้ให้เช่าต้องไม่รบกวนการอยู่อาศัยของผู้เช่า เช่น เข้ามาในห้องพักโดยไม่ได้รับอนุญาต
- ไม่ซ่อมแซมทรัพย์สินที่ชำรุด: ผู้ให้เช่าต้องซ่อมแซมทรัพย์สินที่ชำรุดเสียหาย ซึ่งเกิดจากการใช้งานตามปกติ
- เพิ่มค่าเช่าโดยไม่แจ้งล่วงหน้า: ผู้ให้เช่าไม่สามารถเพิ่มค่าเช่าได้โดยพลการ ต้องแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา
ผลของการผิดสัญญา
- การยกเลิกสัญญา: หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะยกเลิกสัญญา
- การเรียกค่าเสียหาย: ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญา มีสิทธิที่จะเรียกค่าเสียหายจากอีกฝ่ายหนึ่ง
- การฟ้องร้อง: หากไม่สามารถตกลงกันได้ อาจต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
การระบุรายละเอียดความผิดของคู่สัญญาในสัญญาเช่า ควรระบุให้ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อป้องกันการตีความที่แตกต่างกัน และช่วยให้การแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่น
ระบุรายละเอียดการต่อเติม แก้ไข ทรัพย์สินที่เช่า ให้กับผู้เช่าได้รับทราบว่าสามารถต่อเติม แก้ไข หรือก่อสร้างทรัพย์สินใด ๆ ได้หรือไม่
โดยทั่วไปแล้วผู้เช่าไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการต่อเติม แก้ไข หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างใด ๆ บนทรัพย์สินที่เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหอพัก เพราะหากทำการต่อเติม แก้ไข หรือทำการก่อสร้าง อาจส่งผลกระทบต่อสภาพสินทรัพย์ของเจ้าของทรัพย์สินได้
เหตุผลที่ผู้เช่าไม่ควรทำการต่อเติมโดยพลการ:
- การอนุญาต: การต่อเติมใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของทรัพย์สินก่อนเสมอ
- ผลกระทบต่อทรัพย์สิน: การต่อเติมที่ไม่ได้รับการออกแบบหรือควบคุมอย่างถูกต้อง อาจส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหายได้
- กฎหมาย: การต่อเติมอาจขัดต่อกฎหมายอาคารหรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
หากผู้เช่าต้องการทำการต่อเติม ควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้:
- ขออนุญาตจากเจ้าของ: แจ้งความประสงค์ในการต่อเติมให้เจ้าของทราบ และขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
- ตกลงรายละเอียด: ตกลงรายละเอียดต่างๆ เช่น ประเภทของการต่อเติม วัสดุที่ใช้ ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการดำเนินการ
- ทำสัญญาเพิ่มเติม: ทำสัญญาเพิ่มเติมในสัญญาเช่า เพื่อระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อเติมให้ชัดเจน
- ปฏิบัติตามกฎหมาย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการต่อเติมเป็นไปตามกฎหมายอาคารและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
สิ่งที่ควรระวังเมื่อทำการต่อเติม:
- ค่าใช้จ่าย: ผู้เช่าต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการต่อเติมทั้งหมด
- การรื้อถอน: เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า ผู้เช่าอาจต้องรื้อถอนสิ่งที่ตนเองต่อเติมออกไป
- ความรับผิดชอบ: ผู้เช่าต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการต่อเติม
กรณีพิเศษ:
- การตกแต่ง: การตกแต่งภายในห้อง เช่น การติดวอลเปเปอร์ การติดตั้งม่าน เป็นการตกแต่งที่ผู้เช่าสามารถทำได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้าของ แต่ควรแจ้งให้เจ้าของทราบก่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
- การติดตั้งอุปกรณ์: การติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น ชั้นวางของ ตู้เสื้อผ้า อาจต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน หากเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งถาวรหรืออาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของอาคาร
ก่อนทำการต่อเติมจะใด ๆ ในทรัพย์สินที่เช่าจะต้องทำการแจ้งหรือได้รับการอนุญาตจากเจ้าของทรัพย์สินหรือเจ้าของหอพักก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ผู้ให้เช่าควรระบุสภาพและรายการทรัพย์สินในการเช่า พร้อมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินสำหรับให้เช่าอย่างถี่ถ้วนก่อนทำการส่งมอบ รวมไปถึงผู้เช่าควรตรวจสอบทรัพย์สินก่อนรับมอบให้ถี่ถ้วนเช่นกันเพื่อลดปัญหาทรัพย์สินเสียหายในภายหลัง
สำหรับผู้ให้เช่า
- จัดทำรายการทรัพย์สิน: ควรจัดทำรายการทรัพย์สินที่ให้เช่าอย่างละเอียด เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สภาพของห้อง ห้องน้ำ ห้องครัว รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
- ถ่ายรูป: ถ่ายรูปทรัพย์สินในทุกมุม เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันสภาพของทรัพย์สินก่อนการส่งมอบ
- ตรวจสอบระบบต่างๆ: ตรวจสอบระบบไฟฟ้า ประปา และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์
- ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด: ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดเสียหายก่อนการส่งมอบ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
- ทำบันทึก: ทำบันทึกการตรวจสอบร่วมกับผู้เช่า โดยระบุรายละเอียดสภาพของทรัพย์สิน และให้ทั้งสองฝ่ายลงนาม
สำหรับผู้เช่า
- ตรวจสอบรายการทรัพย์สิน: ตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่ได้รับมอบให้ตรงกับรายการที่ระบุไว้ในสัญญา
- ตรวจสอบสภาพ: ตรวจสอบสภาพของทรัพย์สินทุกชิ้นอย่างละเอียด รวมถึงตรวจสอบรอยขีดข่วน รอยแตก หรือความเสียหายอื่นๆ
- ทดลองใช้งาน: ทดลองใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้เป็นปกติ
- แจ้งปัญหา: หากพบปัญหาหรือความเสียหายใดๆ ควรแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบทันที และทำบันทึกเป็นหลักฐาน
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- สัญญาเช่า: ควรระบุรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทรัพย์สินและความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่ายในสัญญาเช่าอย่างชัดเจน
- มัดจำ: การวางเงินมัดจำสามารถช่วยคุ้มครองผู้ให้เช่าในกรณีที่ผู้เช่าทำทรัพย์สินเสียหาย
- ประกันทรัพย์สิน: การทำประกันทรัพย์สินสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียทรัพย์สินจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด
การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยให้ทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่ามีความสบายใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดข้อพิพาทในภายหลังได้อย่างมาก
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่ควรระบุในสัญญาเช่าเพิ่มเติม เช่น:
- การปรับปรุง: หากผู้เช่าต้องการปรับปรุงหรือตกแต่งห้องพัก ควรระบุขั้นตอนและเงื่อนไขในการขออนุญาต
- การดูแลรักษา: ระบุความรับผิดชอบของผู้เช่าในการดูแลรักษาทรัพย์สิน
- การคืนทรัพย์สิน: ระบุเงื่อนไขในการคืนทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดสัญญา เช่น สภาพของทรัพย์สินที่ต้องคืน
ข้อสำคัญสัญญาจะต้องถูกทำขึ้นมา 2 ฉบับ และเนื้อหาของข้อความจะต้องมีตรงกันทุกอย่าง ทั้งลายมือผู้เช่า ข้อมูลต่าง ๆ และจะต้องลงลายมือชื่อผู้เช่าและผู้ให้เช่าทั้งสองฉบับให้เรียบร้อย
เหตุผลที่ควรทำสัญญาเช่า 2 ฉบับ:
- หลักฐานที่ชัดเจน: แต่ละฝ่ายจะถือสัญญาฉบับของตนเองไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งจะช่วยยืนยันสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายได้อย่างชัดเจน
- ป้องกันการแก้ไข: การมีสัญญา 2 ฉบับ ช่วยป้องกันการแก้ไขสัญญาหลังจากที่ได้ลงนามแล้ว
- ความเท่าเทียม: ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่ามีเอกสารที่เหมือนกัน ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน
- ใช้ในการดำเนินคดี: หากเกิดข้อพิพาท สัญญาเช่าจะเป็นหลักฐานสำคัญในการนำไปใช้ในการดำเนินคดี
นอกจากการทำสัญญา 2 ฉบับแล้ว ควรระมัดระวังเรื่องอื่นๆ ดังนี้:
- เนื้อหาสัญญา: เนื้อหาของสัญญาต้องครอบคลุมทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น รายละเอียดทรัพย์สิน ค่าเช่า ระยะเวลาการเช่า สิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย เป็นต้น
- ภาษาที่ใช้: ภาษาที่ใช้ในสัญญาควรเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและชัดเจน เพื่อป้องกันการตีความที่ผิดพลาด
- พยาน: ควรมีพยานมาเป็นสักขีในการลงนามสัญญา เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- เก็บรักษาสัญญา: ควรเก็บรักษาสัญญาไว้ในที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการสูญหาย
ข้อควรจำ:
แม้ว่าการทำสัญญาเช่า 2 ฉบับจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่สามารถป้องกันปัญหาได้ทั้งหมด การสื่อสารที่ดีระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า รวมถึงการปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้การเช่าทรัพย์สินเป็นไปอย่างราบรื่น
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหอพัก
- พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัตินี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมหอพักที่รับคนเช่าที่เป็นนักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยมีกฎเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้:
- การขอใบอนุญาตประกอบกิจการหอพัก: ผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจหอพักต้องขอใบอนุญาตจากทางราชการ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการออกใบอนุญาต เช่น โครงสร้างอาคาร ระบบความปลอดภัย และการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เหมาะสม
- การกำกับดูแลผู้เช่า: หอพักที่รับคนเช่าซึ่งเป็นนักเรียน นักศึกษาที่อายุต่ำกว่า 25 ปี จะต้องมีผู้ดูแลที่ผ่านการอบรมจากทางการ
- มาตรฐานหอพัก: หอพักต้องมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย เช่น มีระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลางที่ถูกสุขอนามัย และระบบป้องกันอัคคีภัย
- พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 กฎหมายนี้จะเกี่ยวข้องหากหอพักตั้งอยู่ในอาคารชุด และเกี่ยวกับข้อกำหนดในการบริหารจัดการอาคารชุดที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น การจัดการพื้นที่ส่วนกลาง การเก็บค่าบริการ และข้อกำหนดเรื่องการบำรุงรักษา
- พระราชบัญญัติให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พ.ศ. 2562 กฎหมายฉบับนี้กำหนดเกี่ยวกับการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยทั่วไป ซึ่งมีข้อกำหนดบางอย่างที่ใช้กับหอพักเช่นกัน โดยเฉพาะหากเป็นการให้เช่าระยะยาว:
- สัญญาเช่าต้องเป็นลายลักษณ์อักษร: เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น
- การจำกัดการขึ้นค่าเช่า: การขึ้นค่าเช่าต้องแจ้งล่วงหน้า และไม่สามารถขึ้นได้เกินกว่าที่กำหนดในกฎหมาย
- กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายนี้มีส่วนช่วยคุ้มครองสิทธิ์ของผู้เช่า เช่น กรณีที่ผู้ให้เช่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญา หรือมีการเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่เป็นธรรม
ข้อบังคับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ระเบียบท้องถิ่น: บางจังหวัดหรือบางพื้นที่อาจมีระเบียบท้องถิ่นที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น กฎเรื่องความปลอดภัย การจัดการขยะ หรือการดูแลสิ่งแวดล้อม
- กฎหมายควบคุมอาคาร: หอพักที่เป็นอาคารสูงหรือมีพื้นที่ขนาดใหญ่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาคาร รวมถึงการขออนุญาตก่อสร้าง การดูแลความปลอดภัยด้านไฟฟ้าและอัคคีภัย
กฎหมายเช่าหอพัก2024 ในประเทศไทย จะอยู่ภายใต้กฎหมายหลายฉบับ โดยหลัก ๆ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) และกฎหมายเฉพาะด้านเกี่ยวกับการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (เช่น พ.ร.บ. อพาร์ทเมนท์ หรือ พ.ร.บ. อาคารชุด ขึ้นอยู่กับประเภทของอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ) ในปี 2024 มีข้อสำคัญเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าและกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังนี้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ว่าด้วยเรื่อง สัญญาเช่า ถือเป็นกฎหมายหลักที่ใช้กำกับการเช่าทรัพย์สินในประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อไม่มีสัญญาอื่นมาครอบคลุมในรายละเอียด ดังนั้น การทำสัญญาเช่าหอพักจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนี้
ประเด็นสำคัญในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับสัญญาเช่า
- นิยามของสัญญาเช่า
- ตามมาตรา 537: สัญญาเช่าเป็นสัญญาที่ผู้ให้เช่ายินยอมให้ผู้เช่าใช้ทรัพย์สินของตนเป็นการชั่วคราว และผู้เช่ายินยอมที่จะชำระค่าเช่าเพื่อการนั้น
- หน้าที่ของผู้ให้เช่า
- มาตรา 544: ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ของการเช่า
- มาตรา 545: ผู้ให้เช่าต้องบำรุงรักษาทรัพย์สินที่เช่าให้อยู่ในสภาพดีตลอดระยะเวลาการเช่า ยกเว้นแต่เป็นความผิดของผู้เช่าเอง
- หน้าที่ของผู้เช่า
- มาตรา 552: ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
- มาตรา 553: ผู้เช่าต้องใช้ทรัพย์สินที่เช่าตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันไว้ในสัญญา หรือตามลักษณะทั่วไปของทรัพย์นั้น หากใช้ทรัพย์สินผิดวัตถุประสงค์ ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้
- การบอกเลิกสัญญาเช่า
- มาตรา 566: สัญญาเช่าที่กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนจะสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
- มาตรา 569: ถ้าผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาหรือภายใต้กฎหมาย
- มาตรา 570: ผู้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากทรัพย์สินที่เช่ามีข้อบกพร่องจนไม่สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ หรือมีอันตรายจากการใช้งาน
- สิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อไม่มีระยะเวลาแน่นอน
- มาตรา 569: ถ้าไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเช่าไว้ชัดเจน ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ด้วยการแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งงวดการเช่า
- การโอนสิทธิการเช่า
- มาตรา 571: ผู้เช่าไม่สามารถโอนสิทธิในการเช่าหรือให้เช่าช่วงได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า
- การทำสัญญาเช่า
- ต้องมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าหากสัญญาเช่ามีระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี ต้องจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่รัฐตามมาตรา 538
- สัญญาเช่า
- จะต้องทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร
หลักเกณฑ์สำคัญอื่นๆ
- การคืนทรัพย์สินที่เช่า: เมื่อสิ้นสุดสัญญา ผู้เช่ามีหน้าที่คืนทรัพย์สินในสภาพที่อยู่ในความเรียบร้อยตามที่ตกลงกันในสัญญา
- ค่ามัดจำและค่าประกัน: หากมีการตกลงเรื่องการมัดจำหรือค่าประกันไว้ในสัญญา จะต้องระบุชัดเจนในสัญญา โดยผู้เช่ามีสิทธิ์เรียกคืนค่ามัดจำเมื่อไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่เช่า
การบอกเลิกสัญญาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มีข้อกำหนดและหลักเกณฑ์เฉพาะสำหรับการบอกเลิกสัญญาในกรณีต่างๆ ทั้งนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย โดยการบอกเลิกสัญญาจะขึ้นอยู่กับประเภทของสัญญาและเงื่อนไขในสัญญานั้น ๆ ดังนี้:
หลักการทั่วไปเกี่ยวกับการบอกเลิกสัญญาใน ป.พ.พ.
- การบอกเลิกสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลา
หากสัญญากำหนดระยะเวลาแน่นอน การบอกเลิกสัญญาจะเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ เว้นแต่มีเหตุที่ทำให้สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามได้ หรือมีเหตุอื่นที่กฎหมายอนุญาตให้บอกเลิกได้มาตรา 566: สัญญาเช่าที่กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอน จะสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติเมื่อครบกำหนด ไม่จำเป็นต้องบอกเลิก - การบอกเลิกสัญญาที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลา
หากสัญญาไม่ได้ระบุระยะเวลาที่แน่นอน หรือเป็นสัญญาระยะยาวแบบต่อเนื่อง การบอกเลิกสัญญาต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าภายในระยะเวลาที่เหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนดมาตรา 569: หากสัญญาเช่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าสามารถบอกเลิกได้โดยต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งงวดการเช่า - การบอกเลิกสัญญากรณีมีการผิดสัญญา
การบอกเลิกสัญญาเนื่องจากการผิดสัญญาของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ โดยกฎหมายระบุว่าฝ่ายที่ถูกละเมิดสิทธิ์สามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันที หรือภายในระยะเวลาที่สมควรเมื่ออีกฝ่ายผิดนัดชำระค่าเช่า หรือละเมิดเงื่อนไขอื่น ๆ ที่สำคัญในสัญญามาตรา 387: การบอกเลิกสัญญาในกรณีที่อีกฝ่ายผิดสัญญา จะต้องเป็นกรณีที่เป็นการผิดสัญญาอย่างร้ายแรง ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาต่อไปได้ - การบอกเลิกสัญญากรณีความเสียหาย
ถ้าสัญญาถูกทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้เนื่องจากเหตุสุดวิสัย เช่น ภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายมีสิทธิ์ที่จะบอกเลิกสัญญาได้ทันที
ประเภทของสัญญาและการบอกเลิกสัญญาใน ป.พ.พ.
- สัญญาเช่า (มาตรา 569)
- หากผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันที
- ผู้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากทรัพย์สินที่เช่าชำรุดจนไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ
- สัญญาจ้างแรงงาน (มาตรา 577-587)
- นายจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากลูกจ้างทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือละเลยการทำงานตามหน้าที่
- ลูกจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากนายจ้างฝ่าฝืนสัญญาหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
- สัญญาจ้างทำของ (มาตรา 593)
- ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานตามสัญญาได้หรือมีการชักช้าเกินกำหนด
- ผู้รับจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้หากผู้ว่าจ้างไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาหรือไม่ชำระค่าตอบแทนตามที่ตกลงกัน
การบอกเลิกสัญญาโดยข้อตกลง
หากในสัญญามีการกำหนดเงื่อนไขการบอกเลิกไว้อย่างชัดเจน ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว เช่น การแจ้งล่วงหน้าหรือการชดเชยค่าเสียหายตามที่ได้ตกลงกันไว้
พระราชบัญญัติห้องเช่า พ.ศ. 2558
- สัญญาห้องเช่า: ต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน เช่น ระยะเวลาการเช่า ค่าเช่า เงื่อนไขการคืนเงินประกัน และการบอกเลิกสัญญา
- การปรับปรุง: กฎหมายนี้บังคับให้ผู้ให้เช่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าเช่าหรือเงื่อนไขการเช่าโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เช่า ยกเว้นมีเหตุผลที่สมควร เช่น ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงหรือบำรุงรักษา
ประเด็นสำคัญของพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558
- นิยามของหอพัก
- หอพักหมายถึงอาคารหรือส่วนหนึ่งของอาคารที่เจ้าของหอพักเปิดให้เช่าโดยเฉพาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
- หอพักที่รับผู้เช่าที่มีอายุเกิน 25 ปีจะไม่เข้าข่ายตามกฎหมายนี้
- การขออนุญาตประกอบกิจการหอพัก
- ผู้ประกอบกิจการหอพักต้องได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องถิ่นตามกฎหมาย
- หอพักที่ก่อสร้างหรือปรับปรุงต้องมีโครงสร้างอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
- ผู้ดูแลหอพัก
- หอพักที่รับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องมี ผู้ดูแลหอพัก ซึ่งผ่านการอบรมจากหน่วยงานราชการ
- ผู้ดูแลหอพักมีหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยของผู้เช่า
- มาตรฐานความปลอดภัย
- หอพักต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด ระบบป้องกันอัคคีภัย พื้นที่ส่วนกลางที่ปลอดภัย รวมถึงมาตรการป้องกันอาชญากรรมภายในหอพัก
- ต้องมีการดูแลเรื่องความสะอาดและการจัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะ
- สิทธิของผู้เช่า
- ผู้เช่ามีสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย
- ผู้เช่าต้องได้รับสัญญาเช่าที่เป็นธรรม โดยไม่มีข้อกำหนดที่ละเมิดสิทธิ์หรือเป็นภาระเกินควร
- บทลงโทษ
- ผู้ประกอบกิจการหอพักที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น ไม่ขออนุญาตหรือไม่มีการดูแลความปลอดภัยตามที่กำหนด จะต้องถูกปรับหรืออาจถูกสั่งปิดกิจการได้
- ผู้ดูแลหอพักที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำผิดกฎหมายจะต้องรับโทษตามที่กำหนด
ข้อพิจารณาสำหรับผู้เช่าและผู้ให้เช่า
- อ่านและทำความเข้าใจสัญญา: ควรอ่านและทำความเข้าใจรายละเอียดในสัญญาทุกข้อก่อนเซ็น
- การเก็บหลักฐาน: เก็บสำเนาสัญญาและใบเสร็จรับเงินเพื่อใช้เป็นหลักฐานในอนาคต
- การปรึกษาทนาย: ในกรณีที่มีข้อสงสัยหรือข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสัญญาเช่า ควรปรึกษาทนายเพื่อขอคำแนะนำทางกฎหมาย
แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายฉบับเฉพาะที่เกี่ยวกับการเช่าหอพักโดยตรงในปี 2024 แต่การเช่าทรัพย์สินใดๆ ก็ตามในประเทศไทย จะอยู่ภายใต้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับสัญญาเช่าไว้อย่างชัดเจน
สิ่งสำคัญที่ควรทราบเกี่ยวกับกฎหมายเช่าหอพัก
- สัญญาเช่าเป็นหลักฐานสำคัญ: สัญญาเช่าเป็นหลักฐานที่แสดงถึงสิทธิและหน้าที่ของทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า การทำสัญญาเช่าให้ชัดเจนและครบถ้วนจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่า: ผู้เช่ามีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าตามวัตถุประสงค์ของการเช่า และมีหน้าที่ชำระค่าเช่าตามกำหนด ดูแลรักษาทรัพย์สินให้ดี
- สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่า: ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่าตามสัญญา และมีสิทธิที่จะได้รับค่าเช่าตามกำหนด
- การแก้ไขปัญหา: หากเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการเจรจาไกล่เกลี่ย หรือหากตกลงกันไม่ได้ สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้
ประเด็นสำคัญที่ควรระบุในสัญญาเช่าหอพัก
- ข้อมูลของคู่สัญญา: ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เลขที่บัตรประชาชน
- รายละเอียดทรัพย์สินที่เช่า: ที่ตั้ง ขนาด ห้อง ห้องน้ำ ห้องครัว สิ่งอำนวยความสะดวก
- ระยะเวลาการเช่า: ระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดการเช่า
- ค่าเช่า: ระบุจำนวนเงินค่าเช่า วิธีการชำระ และกำหนดวันชำระค่าเช่า
- เงินประกัน: ระบุจำนวนเงินประกัน และเงื่อนไขการคืนเงินประกัน
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: ระบุค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง
- สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา: ระบุสิทธิและหน้าที่ของทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่าอย่างชัดเจน
- เงื่อนไขการต่อสัญญา: ระบุเงื่อนไขการต่อสัญญาหากต้องการใช้ทรัพย์สินต่อเนื่อง
- การยกเลิกสัญญา: ระบุเหตุผลที่สามารถยกเลิกสัญญาได้ และผลที่ตามมา
- การแก้ไขปัญหาข้อพิพาท: ระบุวิธีการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น
ปัญหาที่พบบ่อยในการเช่าหอพัก
- การไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด: เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด
- ความเสียหายของทรัพย์สิน: ผู้เช่าทำทรัพย์สินเสียหาย
- การรบกวนผู้อื่น: ผู้เช่าสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อาศัยรายอื่น
- การไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าเมื่อจะย้ายออก: ผู้เช่าไม่แจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าตามที่กำหนดในสัญญา
สิ่งที่ผู้เช่าควรทำ
- อ่านสัญญาให้ละเอียด: ก่อนเซ็นสัญญา ควรอ่านสัญญาให้ละเอียดและเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนเอง
- ตรวจสอบสภาพห้อง: ตรวจสอบสภาพห้องก่อนเข้าอยู่ และแจ้งปัญหาให้ผู้ให้เช่าทราบ
- เก็บหลักฐาน: เก็บหลักฐานการชำระค่าเช่า และหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- แจ้งปัญหาทันที: หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ควรแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบโดยเร็วที่สุด
สิ่งที่ผู้ให้เช่าควรทำ
- ทำสัญญาให้ชัดเจน: สัญญาเช่าควรมีความชัดเจน ครอบคลุม และเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย
- ตรวจสอบสภาพห้องก่อนส่งมอบ: ตรวจสอบสภาพห้องให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบให้ผู้เช่า
- ดูแลรักษาความเรียบร้อยของอาคาร: ดูแลรักษาความเรียบร้อยของอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
- ปฏิบัติตามกฎหมาย: ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้เช่าทรัพย์สิน
หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
กฎหมายการเช่าหอพักและอพาร์ทเมนท์ อาจมีการปรับปรุงกฎหมายและมีการอัปเดตใหม่ หรือแก้ไขข้อกำหนดเพิ่มเติม จึงควรติดตามข้อมูลจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่อง หากต้องการทราบข้อมูลเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายเช่าหอพัก2024 สามารถตรวจสอบกับกรมที่ดิน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านกฎหมายและอสังหาริมทรัพย์
แหล่งที่มา: กฎหมายหอพัก กฎหมายหอพัก1 สัญญาเช่าหอพัก กฎหมายให้เช่า
บริหารหอพักในกำมือด้วย Horganice โปรแกรมบริหารจัดการหอพักและอพาร์ตเมนต์ให้เช่า
โปรแกรม Horganice เป็นโปรแกรมบริหารหอพักสัญชาติไทยที่พัฒนาโดยคนไทย
- ใช้ระบบ Cloud ที่ดีที่สุดเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้
- ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลจะหายไป เพราะเรามีทีม Developer ดูแลข้อมูลและสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
- ข้อมูลไม่ถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่ 3 โดยที่ไม่ได้รับความยินยอม
- * ฮอร์แกไนซ์ไม่ได้มีหน้าที่ส่งข้อมูลให้สรรพากร แต่เราอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้โดยการที่ผู้ใช้สามารถ export หน้าบัญชีออกไปเป็นไฟล์ Excel เพื่อให้ง่ายในการรวบรวมข้อมูลรายรับ – รายจ่ายได้)
ฮอร์แกไนซ์เราเข้าใจถึงปัญหาที่เจ้าของหอพักต้องเจอเป็นอย่างดี เรามีประสบการณ์ในด้านการพัฒนาระบบพื้นที่เช่าทั้งห้องเช่า บ้านเช่า หอพักและอพาร์ทเมนต์ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ตลอดระยะเวลาฮอร์แกไนซ์ได้มีการปรับปรุงและอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด